โฮมออฟฟิศดีไซน์เท่แบบ Modern Loft ที่ซ่อนแนวคิด Work Life balance ได้อย่างลงตัว

0

“เราสร้างบ้าน เราสร้างออฟฟิศ” เราสร้างด้วยหัวใจ” แนวคิดเริ่มต้นของคุณรัตน์ ธนัตถ์รัตน์ เตโชชวลิต และคุณเอื้อง ภีรนัย โชติกันตะ คู่รักนักเดินทางที่ร่วมกันเก็บเกี่ยวการเดินทางมาใส่ไว้ในการตกแต่งบ้าน และโฮมออฟฟิศ บรัษัท สายสี่ พีพีดรักส์ จำกัด ที่พวกเขาเป็นเจ้าของ โดยมีการวางพื้นที่ของชีวิตและการทำงานให้เกิดความสมดุล จัดสรรความสุขและความสำเร็จ อย่างการสร้างบ้านและออฟฟิศให้อยู่ในรอบรั้วเดียวกันได้อย่างลงตัว

โดยได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากในการเดินทางแต่ละครั้ง สิ่งที่ทั้งคู่ได้เห็นภาพที่ไม่เคยเห็น บรรยากาศที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ประสบการณ์ใหม่ๆที่ไปเจอมา ได้ผสมผสานเป็นแรงบันดาลใจเข้ากับความชอบในความเรียบง่าย ทันสมัย แล้วนำมาสร้างบ้านหลังนี้เมื่อ 10 ปีก่อน ออกมาในลักษณะเป็นอาคารรูปตัว U รูปทรงโมเดิร์น บนดินหน้ากว้าง 14 ลึก 28 เมตร  โดยมีการซ่อนแนวคิดชีวิตอยู่ในรายละเอียดของบ้าน

สำหรับไอเดียในการออกแบบ เขาเล่าว่าด้วยความที่เป็นที่ดินหน้าแคบ จึงเป็นโจทย์แรกว่าทำอย่างไรจึงสามารถนำพื้นที่สีเขียว เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการอยู่อาศัยได้มากที่สุด เพราะคุณรัตน์กับคุณเอื้องเป็นคนชอบธรรมชาติ ทางคุณรัตน์จึงออกแบบโดยใช้ประโยชน์จากรูปทรงตัวยู ที่มีคอร์ทเล็กๆ ที่จัดเป็นสวนอยู่กึ่งกลาง ผิวอาคารส่วนที่ชิดกับคอร์ทติดกระจกใสขนาดใหญ่ เพื่อเปิดรับแสงธรรมชาติ และพื้นที่สีเขียวเข้ามาช่วยผ่อนคลายในทุกจังหวะการอยู่อาศัยของครอบครัว

ภายในเน้นการจัดสรรพื้นที่ให้เกิดฟังก์ชั่นการใช้งานให้มากที่สุด แต่ทั้งนี้ก็ดีไซน์ให้ภาพรวมดูโปร่ง โล่ง กว้างขวาง และมีระเบียบ ชั้น 1 ใช้พื้นที่เป็นห้องนั่งเล่น ห้องครัว และห้องน้ำ ที่เปิดพื้นที่ให้เชื่อมต่อกัน ซึ่งช่วยให้เกิดบรรยากาศที่กว้างขวาง แต่ก็มีการใส่บานเฟี้ยมระหว่างห้องรับแขกและห้องรับประทานอาหาร เพื่อแบ่งพื้นที่ให้เป็นส่วนตัว โดยความพิเศษของบานเฟี้ยมหลังนี้ ภายในบานกระจกได้ทอผ้าไหมอิตาลีไว้ด้านในด้วยการสั่งผลิตแบบ Made to order เพื่อให้เกิดลายของกระจกที่ถูกใจ แตกต่างจากกระจกทั่วไปในท้องตลาด เราไม่สามารถพบเจอกระจกลายแบบนี้บานที่สองในประเทศไทย เป็นการให้ความสำคัญในรายละเอียดทุกจุด โดยไม่ลืมที่จะใส่ความชอบของตัวเองลงไป

แม้จะมีพื้นที่เพียง 100 ตร.ว. แต่การออกแบบก็ใช้ประโยชน์ในทุกตารางวาอย่างเต็มศักยภาพ คุณเอื้องที่รักการดูภาพยนตร์เป็นชีวิตจิตใจ มีการต่อเติมบริเวณหลังคาโรงรถให้เป็นให้เป็นห้องชั้นลอยระหว่างชั้น 1 และชั้น 2 เพื่อใช้สำหรับเป็นห้องดูภาพยนตร์ ภายในเต็มไปด้วยภาพยนตร์หลายร้อยเรื่อง หลากหลายสัญชาติ ที่อยู่ในรูปแบบทั้งแผ่นแอลดี  วีดิโอซีวีดี ดีวีดี และ Blue-Ray  บอกเราได้เป็นอย่างดีว่าคุณเอื้องนั้น เริ่มสะสมภาพยนตร์มาตั้งแต่ยุคแรก เป็นคอหนังตัวยงที่เห็นเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมภาพยนตร์มาทุกยุค ด้วยความที่มีจำนวนมากจึงมีการจัดหมวดหมู่เป็นหลายหมวด เพื่อการหยิบมาเปิดดูได้สะดวก ทั้งหมวดหนังรางวัลออสการ์ หนังรัก หนังแอ๊คชั่น หนังสยองขวัญ หนังแฟนตาซี หนังตลก ฯลฯ เรียกได้ว่าเป็นส่วนต่อเติมที่ได้ใช้งานอย่างคุ้มค่า เพราะมันพาคุณเอื้องไปผจญภัย และเปิดโลกใบใหม่ผ่านการดูภาพยนตร์ ซึ่งเธอนิยามห้องนี้ว่า “Home Sweet Home” เนื่องจากที่เป็นพื้นที่พักผ่อน และเป็นตัวเองอย่างแท้จริง

“พี่เป็นคนชอบดูหนัง ดูได้ทุกประเภทเลยตั้งแต่หนังรัก หนังตลก แอ็คชั่น สยองขวัญ โดยเฉพาะต้องติดตามดูหนังทีได้รับรางวัลออสการ์ ทำให้เริ่มสะสมภาพยนตร์ยอดเยี่ยมรางวัลออสการ์ตั้งแต่ปีแรก เรื่อง “Wing” ในปี 1929 จนถึง “Green Book” (2018) ปีล่าสุดค่ะ ทั้งหมด 91 เรื่องแล้วค่ะ และคงต้องสะสมไปเรื่อยๆ ถ้าจะถามว่าชอบเรื่องไหน ก็คงต้องบอกว่าชอบทุกเรื่อง เรื่องที่ชอบมากคือ “Gone with the Wind” (1939) ภาพยนตร์คลาสสิก แนวดราม่าโรแมนติก ที่ดูกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ซึ้งค่ะ”

นอกจากภาพยนตร์ประเภทต่างๆที่จัดหมวดหมู่เรียงรายอยู่บนชั้นมากมายจนนับไม่ถ้วนแล้ว ในห้องนี้ยังประดับด้วยตุ๊กตาคู่ ชาย-หญิง ที่มีลักษณะ หน้าตาแตกต่างกัน หลากแบบหลายเชื้อชาติ คุณเอื้องเล่าว่าด้วยความที่เธอเคยทำงานด้านต่างประเทศ เธอจึงมีโอกาสได้เดินทางไปยังประเทศต่างๆ พบเห็นความหลากหลายของวัฒนธรรม การเดินทางแต่ละครั้งนอกจากจะบันทึกไว้ในความทรงจำแล้ว ตุ๊กตาเหล่านี้ก็เป็นความทรงจำที่จับต้องได้ที่เธอซื้อมาจากการเดินทางไปในประเทศนั้นๆ มาเก็บสะสมไว้เสมอ ถัดจากห้องดูภาพยนตร์ก็เป็นในส่วนชั้นสอง ที่จะใช้เป็นห้องนอน Master Bedroom ห้องนอนสำหรับแขกที่มาเยือน ห้องทำงาน และห้องพระ ในชั้นนี้จะเน้นความสงบ เพื่อให้เหมาะกับการนอนหลับพักผ่อน และใช้สมาธิในการทำงาน

เมื่อเดินชมบ้านจนทั่วแล้ว คุณรัตน์พาเราไปดู ตึกออฟฟิศใหม่ล่าสุดที่สร้างอยู่ข้างกัน ซึ่งมีระยะห่างจากบ้านเพียง 4 เมตร ทำให้คุณรัตน์กล่าวอย่างติดตลกว่าเขามาทำงานรถไม่ติด ใช้เวลาเดินทางจากบ้านมาออฟฟิศไม่ถึง 1 นาทีเท่านั้นเอง

สำหรับส่วนออฟฟิศ เมื่อดูจากอาคารภายนอก เรียกได้ว่าสไตล์โมเดิร์นได้ถูกถ่ายทอดมาจากบ้านมาสู่ออฟฟิศแบบกลมกลืนกัน ภายในส่วนออฟฟิศมีการแบ่งพื้นที่ใช้สอยชั้น 1-3 เป็นชั้นสำหรับเก็บสินค้าที่เตรียมพร้อมส่งให้โรงงานโรงพยาบาล นิคมอุตสาหกรรม บริษัทห้างร้านต่างๆ ตกแต่งด้วยสไตล์ Modern Loft โชว์ผิววัสดุ สีแบบปูนเปลือย เปิดฝ้าเห็นงานระบบบางส่วนแบบลอฟต์ ขณะเดียวกันก็ใช้สีสันเข้ามาใช้ในสัดส่วนราว 20 เปอร์เซ็นต์ในบริเวณลิฟต์และบันได เพื่อช่วยให้บรรยากาศดูไม่น่าเบื่อและสดชื่น เปลี่ยนภาพลักษณ์โกดังร้านยาที่เราคุ้นเคย ให้ดูมีความเท่ ร่วมสมัยมากขึ้น

ขณะเดียวกันก็เปิดเพดานในส่วนหน้าแบบ Double Volume สูงไปสองชั้นราว 7 เมตร คุณรัตน์บอกว่ายอมเสียพื้นที่ชั้นสองสำหรับเก็บของไปบางส่วน เพื่อสร้างบรรยากาศที่โปร่ง สบายในชั้นหนึ่ง บวกกับทั้งตึกติดฟิล์มกรองความร้อนทุกชั้น กรองความร้อนได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เพื่อต้องการสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีให้กับพนักงานในออฟฟิศราว 30 คนที่ดูแลกันเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน

บนชั้น 4 เป็นส่วนของชั้นออฟฟิศสำนักงาน ที่มีห้องผู้จัดการ โต๊ะของพนักงาน และห้องประชุมที่เชื่อมต่อกัน สิ่งหนึ่งที่สะดุดตาเมื่อเข้ามาคือสีสันของห้องประชุมที่ใช้สีสันสดใสเพื่อกระตุ้นให้เกิดพลังงานในการทำงานอย่างสนุกสนาน ไม่น่าเบื่อ และเกิดความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย

ในส่วนของชั้น 5 เป็นชั้นสำหรับอยู่อาศัย เมื่อขึ้นมาจะพบกับ Sculpture ม้า 22 ตัวประดับติดอยู่เต็มผืนผนังทางเดิน  เหมือนกับกำลังวิ่งไปสู่เส้นชัยอย่างสามัคคี โดยมีความหมายอิงกับปีเกิดของเจ้าของบ้าน ทั้งเลข 22 ถือเป็นเลขดี ที่สำคัญเขามองว่าม้าเป็นสัตว์ที่มีพลัง สง่างาม ขยัน ตลอดชีวิตของม้าทำประโยชน์ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นชีวิตที่มีคุณค่า เชื่อมโยงถึงการทำงานของคนเราที่ควรเป็นอย่างม้า

สำหรับ facility ในชั้นนี้ คุณเอื้องเล่าว่าอยากทำให้ที่นี่เหมือนโฮมออฟฟิศ ที่ทำงานที่ไม่ไกลจากบ้าน แน่นอนว่าในชั้นนี้มีห้องสำหรับพักผ่อน ประกอบด้วย ห้องนอน 2 ห้อง และห้องออกกำลังกาย เติมความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และมีห้องครัวเล็ก และโต๊ะขนาด 5-7 ที่นั่งสำหรับปาร์ตี้เล็กๆ กับเพื่อนๆในบางเวลา เรียกได้ว่าครบครันไม่ต่างจากอยู่บ้านเลย

“เวลาที่จะได้เข้ามาชั้นนี้ เป็นช่วงบ่ายเรื่อยไปจนถึงกลางคืน เป็นเวลาพักผ่อนหลังจากการทำงาน  โดยเฉพาะการออกกำลังกายที่ใช้เป็นประจำ” คุณรัตน์เล่า

อย่างที่หลายครั้งโชว์เด็ดๆ มักจะมามาตอนท้ายเสมอ สำหรับบ้านนี้ก็เช่นกัน ทันทีที่ขึ้นไปบนชั้น 6 การออกแบบ และจัดฟังก์ชั่นการใช้สอยทิ้งภาพลักษณ์ของโฮมออฟฟิศที่เคยเห็นออกไปโดยสิ้นเชิง เพราะชั้นนี้เป็นเหมือนลานปาร์ตี้ลอยฟ้า มีห้องคาราโอเกะเชื่อมต่อกับดาดฟ้า เห็นวิวพาโนรามาของกรุงเทพฯ มีการจัดวางเก้าอี้และบันไดสีแดงจัดจ้าน ขึ้นไปยังชั้น 7 ที่เป็นเหมือนชั้นลอยต่อกันเป็นพื้นที่เดียวกัน เชื่อมต่อกันทั้งทางสายตา และการใช้งานที่คนที่อยู่ทั้งชั้น 6 และชั้น 7 สามารถมีปฏิสัมพันธ์กันได้โดยทำให้บรรยากาศของงานปาร์ตี้ไหลลื่น

“เรา Work Hard, Play Hard เวลาทำงานของเราก็ตามเวลาออฟฟิศคือ 8 ชั่วโมง แต่หลังจากเลิกงานเราก็คืนเวลาส่วนตัวให้ชีวิต หมดเวลางานก็คือหมด พรุ่งนี้ทำใหม่ อีกอย่างพี่เป็นคนเพื่อนเยอะ หลายครั้งก็มีการปาร์ตี้กับเพื่อนๆ บ่อยครั้งมันก็ช่วยเติมเต็มชีวิตทั้งสองด้านให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นที่ออฟฟิศเราจัดงานวันเกิดให้กับพนักงานทุกคน เป็นจุดที่พนักงานมาใช้สังสรรค์จัดงานวันเกิดด้วย”

นอกจาก concept การแต่งบ้านสไตล์ Modern Contemporary ที่เจ้าของบ้านถ่ายทอดให้กับอาคารทั้งสองหลังในแบบเดียวกัน เบื้องหลังอีกสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ทั้งบ้านและออฟฟิศใหม่สร้างโดยเลือก Royal house เหมือนกัน คุณเอื้องให้เหตุผลว่า “เราเชื่อในเครดิตของเขา เชื่อในฝีมือที่มีความคุณภาพ ตามสโลแกนของเขาที่บอกว่าสร้างบ้านด้วยสมอง ทั้งยังเข้าใจโจทย์ที่เราต้องการ และสร้างออกมาได้รองรับการใช้งานของเรา ที่สำคัญคือมีความตรงเวลา ทำให้เราสามารถควบคุมงบประมาณไม่ให้บานปลายได้ค่ะ ”

ทั้งบ้านและโฮมออฟฟิศของคุณรัตน์และคุณเอื้องแห่งนี้ แสดงให้เราเห็นว่า เมื่อชีวิตส่วนตัวกับงานต้องมาอยู่ร่วมพื้นที่เดียวกัน การจัดสรรพื้นที่ให้สมดุลทำให้มีพื้นที่มากพอที่จะใส่ความเป็นตนตัวของเจ้าของบ้าน และฟังก์ชั่นที่เอื้อต่อการทำงาน เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ชีวิตทั้งสองด้านได้อย่างสมบูรณ์แบบ