ดินแดนเสมือนฝันแห่งนี้ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อผู้เป็นเจ้าของได้ตกหลุมรักในความเป็นชนบทของทุกประเทศในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส ฮอลแลนด์ เบลเยี่ยม ลักเซมเบิร์ก โดยเฉพาะงานศิลปะที่แฝงอยู่ในงานสถาปัตยกรรม หรือแม้แต่เรื่องราวที่เขาได้พบเจอในระหว่างการเดินทางไปตามท้องถนนอย่างรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของวัสดุที่เผยให้เห็นตามอาคารบ้านเรือนอันเก่าแก่ โดยหยิบจับเรื่องราวทั้งหมดมาผสมผสานเข้าด้วยกันโดยไม่ได้เจาะจงว่าเป็นประเทศไหน
ภาพของชนบทยุโรปที่ครั้งหนึ่งเคยได้เดินทางไปสัมผัส ถูกเนรมิตขึ้นเพื่อไม่ให้เป็นเพียงความฝันของใครหลายคนอีกต่อไป โดยเขาได้ต่อเติมจากอาคารที่อยู่อาศัยจนกลายเป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ซึ่งทัศนียภาพของละแวกนี้เป็นทุ่งหญ้ากว้างไกล ห้อมล้อมด้วยธรรมชาติของป่าเขา ยิ่งให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับบ้านชนบทในยุโรปยิ่งนัก ทั้งนี้ผู้เป็นเจ้าของได้วางเรื่องราวของ La Purinée (ลา ภูริเณ่) โดยใช้ความรู้สึกของตัวเองสมมุติว่าทางเข้าหลักส่วนแรกก่อนจะเดินเข้าเมืองนั้น เป็นร้านอาหารที่ออกแบบให้มีรูปลักษณ์คล้ายโบสถ์เก่าไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างของประตูและหลังคาโค้ง รายละเอียดที่เราจะได้พบไม่ว่าจะเป็นห่วงเหล็กที่อดีตใช้สำหรับผูกม้า หรือเหล็กขูดรองเท้าก่อนเข้าบ้านของคนโบราณ
การออกแบบภายในเน้นใช้วัสดุที่โชว์ผิวสัมผัสให้เห็นเนื้อแท้ที่ดูเป็นธรรมชาติ อย่างปูนเปลือย พื้นและผนังหินจริง คานเสาที่ดีไซน์จากไม้จริง หรือแม้แต่ไม้ฝ้าที่รื้อมาปิดทับหลังคา ประดับด้วยด้วยภาพวาดสีน้ำซึ่งล้วนแต่เป็นผลงานของเจ้าของทั้งสิ้น หลังจากเดินออกจากร้านอาหารก็จะพบกับเมืองที่ถูกจัดสรรให้เป็นห้องพักโดยแบ่งเป็น Standard Room 7 ห้อง ห้องใต้หลังคา 2 ห้อง มาพร้อมการออกแบบที่ไม่ทำลายสภาพแวดล้อมเดิม ฉะนั้นจึงได้กั้นผนังด้านหน้าและดีไซน์เป็นร้านค้าเล็กๆ ทั้งนี้หากมีการสังเกตดีๆ จะเห็นว่าป้ายกับร้านค้าจะไม่ตรงกันเพราะในเบลเยี่ยมจะไม่มีการทำลายป้ายเก่าซึ่งถือว่าเป็นของโบราณ แม้ว่าร้านค้าจะเปลี่ยนไปอีกกี่ครั้งก็ตาม
ในยุโรปจะมีการนำบ้านเก่ามาดีไซน์เป็นโรงแรมซึ่งจะใช้หินอ่อน แต่ที่นี่จะใช้หินทรายเพื่อให้เกิดความใกล้เคียงมากที่สุด และเน้นใช้วัสดุท้องถิ่นที่หาได้ง่ายในพื้นที่ อาทิ ไม้เก่าที่ได้มาจากโรงเก็บข้าวโพดซึ่งเป็นไม้เบญจพรรณ หินจริง บานหน้าต่างเก่า เป็นต้น ไม่เพียงแค่รูปทรงของอาคารที่ดูสะดุดตาเท่านั้น แต่ยังมีรายละเอียดในแง่ของความเป็นศิลปะแฝงอยู่ในทุกอณู ไม่ว่าจะเป็นตะขอล็อกบานหน้าต่าง ซึ่งบ้านเราจะมีลักษณะเป็นตะขอเกี่ยว แต่ที่นี่จะใช้เป็นตัวยกที่ได้มาจากฝรั่งเศส หรือรางน้ำที่มีกล่องสี่เหลี่ยมเข้ามารองรับ โดยเจ้าของได้หล่อขึ้นเองโดยเลียนจากสิ่งที่พบเจอ
กระทั่งปุ่มเหล็กดำที่โผล่ออกมาให้เห็นตามขอบประตูหน้าต่างก็ตาม เพราะเดิมสมัยโบราณจะมีการใช้หน้าต่างกันขโมย พอมาถึงยุคปัจจุบันก็ไม่จำเป็นต้องใช้จึงได้ถอดทิ้งและใส่บานหน้าต่างธรรมดา ก็จะเหลือร่องรอยของเหล็กเหล่านี้ให้เห็น นอกจกานี้งเราจะเห็นเหล็กเส้นสีดำที่มาติดไว้ตามผนัง โดยเลียนแบบในยุโรปโบราณในสมัยก่อนที่จะก่ออาคารเป็นอิฐขึ้นมา และจะต้องยึดเหล็กโยงไปอีกฝั่งเพื่อเป็นตัวรั้งไม่ให้ผนังพังนั่นเอง ตามขอบผนังอาคาร หรือตามหัวเสา ตกแต่งด้วยงานปั้นเป็นรูปหน้าคน ทั้งเด็กชาย และหญิงสาว ที่เจ้าของได้ปั้นและหล่อขึ้นเองทั้งสิ้น เหล่านี้แสดงถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียดที่เขาได้พบเจอมา
เมื่อเดินออกจากเมืองก็จะพบกับอาคารที่ออกแบบคล้ายโบสถ์ จัดสรรให้เป็น Villas มี 2 ห้องนอน โดยมีไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ ถัดไปก็จะพบกับบ้าน ส่วนนี้จัดสรรให้เป็น Villas อีก 3 ห้อง ที่ตกแต่งได้อย่างประณีตด้วยของเก่าจากยุโรป ลงตัวไปกับรูปแบบของรีสอร์ตได้เป็นอย่างดี ก่อนที่จะเดินออกไปตามทุ่งนาจะพบกับโรงนาอันแสนอบอุ่นที่จัดสรรให้เป็น Caravan 2 ห้องพัก พร้อมพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมบนสนามหญ้าสีเขียว เสมือนเราได้ไปสัมผัสความเป็นชนบทสไตล์ยุโรปอย่างแท้จริง
ดินแดนเล็กๆ ที่ให้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังเดินเล่นอยู่ท่ามกลางบรรยากาศแบบยุโรปที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ทั้งหมู่บ้าน ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก โรงนา เหล่านี้ล้วนถูกออกแบบได้กลมกลืนไปกับบริบทโดยรอบได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว สำหรับผู้ที่สนใจ La Purinée Khao Yai โทร.08-8836-6659 หรือ Facebook : La Purinée Khao Yai