(Owner : คุณบอย อินทีเรีย Tmotiv Studio)
เทรนด์การแต่งบ้านสไตล์มินิมอล (Minimalist Design) เรียกได้ว่ามาแรงไม่มีแผ่ว ด้วยการตกแต่งที่เรียบง่าย เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์เพียงน้อยชิ้น เน้นโทนสีอ่อน สบายตา ไม่ฉูดฉาด หวือหวา ทำให้เกิดความสงบ ผ่อนคลาย ตอบโจทย์ช่วงเวลาที่ผู้คนต่างอยู่บ้านกันมากขึ้น จะเห็นได้ตามกลุ่มแต่งบ้าน ที่เจ้าของบ้านมักจะมาแชร์ไอเดีย แบ่งปันแรงบันดาลใจอยู่เสมอ ทั้งนี้ ยังรวมไปถึงงานดีไซน์ที่เน้นความโปร่งโล่ง ให้ธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งก็ยังอยู่ในกระแสเช่นกัน เพราะนอกจากความสว่างสบายตาแล้ว ยังให้ความรู้สึกน่าอยู่อาศัยมากขึ้นด้วย
(Owner : คุณสดายุ บรรเจิดธนา และคุณภาวินี อินทวิวัฒน์)
เมื่อพูดถึงการแต่งบ้านสไตล์มินิมอลแล้ว การทาบ้านสีขาว มักเป็นโทนสีที่ใครต่างก็นึกถึงเป็นอันดับต้น ๆ เพราะนอกจากจะสื่อถึงความเรียบง่ายแล้ว ยังตอบโจทย์ความรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย คลาสสิคและทันสมัยไปพร้อมกัน แถมลงตัวกับทุกโทนสี ทุกสไตล์การตกแต่ง ง่ายต่อการเลือกเฟอร์นิเจอร์มาจัดวาง ทั้งยังเสริมให้พื้นที่ดูโปร่งกว้าง สะอาดสบายตา และยังเป็นโทนสีที่ช่วยสะท้อนความร้อนได้เป็นอย่างดี
(Owner : คุณสดายุ บรรเจิดธนา และคุณภาวินี อินทวิวัฒน์)
(Owner : ครอบครัวธนพงศ์อาชา)
แม้จะได้รับความนิยมมานานเท่าไร แต่โทนสีขาวก็ยังน่าค้นหาในคำตอบว่าขาวเฉดไหนจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับการแต่งบ้าน และทุกคร้ังที่ผู้เขียนได้แบ่งปันไอเดียแต่งบ้านสไตล์มินิมอลลงเพจ ก็มักถูกถามเสมอและบ่อยที่สุดถึง “รหัสสีขาว” ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าท้าทาย เพราะสีขาวค่อนข้างมีหลายเฉดมากกว่าที่คิด แต่ละเฉดก็ให้อารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป ผู้เขียนเลยจะมาอธิบายหมดเปลือกเกี่ยวกับการเลือก “เฉดสีขาว” สำหรับพื้นที่ต่าง ๆ ภายในบ้าน แล้วจะเลือกสีขาวเฉดไหนให้รอด เรามาดูเทคนิคการเลือกกัน
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า เฉดสีขาวนั้นแตกต่างจากโทนสีขาวบริสุทธิ์ เพราะเกิดจากการเจือด้วยสีอื่นเพื่อลดทอนความสว่างจ้า ทำให้เกิดสีใหม่ที่มีเฉดสีต่างไปจากเดิม และถูกเรียกว่า สีขาวออฟไวท์ (Off-white) โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ที่ล้วนส่งผลต่อความรู้สึก อารมณ์ ของผู้อยู่อาศัย รวมถึงสามารถเลือกสีใช้ได้ตามความเหมาะสม แล้วจะเลือกขาวเฉดไหนให้รอด ให้ตรงใจมากที่สุด? ก็ต้องคำนึงถึงตำแหน่งทิศทางของแต่ละห้อง แสงธรรมชาติที่ส่องผ่านเข้ามาระหว่างวัน หรือแม้แต่การเลือกใช้หลอดไฟในห้องต่าง ๆ ประกอบเข้าไปด้วย
สีขาวโทนอุ่น (Warm Colors)
(บ้าน MUJI Minimal by Sissay Asset)
สีขาวโทนอุ่น (Warm Colors) เกิดจากการนำสีขาวเจือเข้ากับสีโทนร้อน อย่างสีแดง สีส้ม และสีเหลือง สีที่ได้นั้นจะมีความอบอุ่น นุ่มนวล ทั้งยังสะท้อนแสงได้เป็นอย่างดี เฉดสีนี้ นิยมใช้กับห้องที่แสงธรรมชาติส่องผ่านเข้ามาได้ค่อนข้างน้อย อย่างห้องที่หันหน้าไปทางทิศเหนือ และทิศตะวันตก หรือห้องที่ใช้ไฟ Daylight (แสงสีขาวใกล้เคียงกับธรรมชาติ) ก็ตาม หากนำสีขาวโทนอุ่นเข้ามาใช้ ยิ่งจะช่วยสร้างบรรยากาศให้ห้องดูละมุนขึ้นในทันตา โดยมากมักใช้กับห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือห้องที่ต้องการความสงบผ่อนคลายเป็นหลัก
สีขาวโทนเย็น (Cool Colors)
สีขาวโทนเย็น (Cool Colors) เกิดจากการนำสีขาวเจือเข้ากับสีเขียว สีน้ำเงิน สีฟ้า และสีเทา สีที่ออกมาก็จะให้ทั้งความทันสมัย รู้สึกได้ถึงความปลอดโปร่ง เหมาะกับพื้นที่ขนาดจำกัด แต่มีแสงสว่างจากธรรมชาติส่องผ่านเข้ามาตลอด โดยเฉพาะห้องที่หันหน้าไปทางทิศใต้ และทิศตะวันออก รวมไปถึงห้องที่ใช้ไฟ Warm White (แสงสีส้ม) การเลือกสีขาวโทนเย็นเข้ามาใช้นั้น จะช่วยเบรกสีภายในและภายนอกอาคาร ให้เย็นสบายตามากขึ้น ทั้งยังช่วยขับให้เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งดูโดดเด่นชวนมองมากขึ้นด้วย โดยมากมักใช้กับพื้นที่โถงทางเข้าบ้าน หรือห้องที่ต้องการความปลอดโปร่ง เพิ่มความละมุน มองแล้วรู้สึกสบายตาขึ้น เป็นต้น
สี Jamila 158-1
สำหรับดีไซเนอร์ ผู้ออกแบบ หรือเจ้าของบ้านที่กำลังมองหาไอเดียสีทาบ้าน กับแรงบันดาลใจในการครีเอทพื้นที่ใหม่ ๆ ที่ไม่มีวันล้าสมัย และยังเป็น เทรนด์สีของปี 2023 อยู่ละก็ ผู้เขียนขอแนะนำ สีขาวโทนอุ่น จาก เบเยอร์ (Beger) อย่างสี Jamila 158-1 สีขาวครีม ที่ฉาบด้วยความละมุนของเอิร์ธโทน เจือสีเบจบาง ๆ ที่พร้อมสร้างสรรค์บรรยากาศสุดอบอุ่น เต็มไปด้วยความสงบ เหมาะแก่การพักผ่อนอย่างไม่รู้เบื่อ โดยเฉพาะห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือมุมโปรดที่ต้องการความผ่อนคลาย ทั้งภายในและภายนอกอาคาร ด้วยความละมุน ของโทนสีนี้ จึงไม่เกิดการสะท้อนแสงจนรบกวนการพักผ่อน สามารถเลือกใช้เพื่อความผ่อนคลายให้ลูกค้าสำหรับคาเฟ่ หรือลดความตึงเครียดในสถานที่ทำงาน ก็ล้วนแต่ตอบโจทย์ ทั้งยังตรงตามคอนเซ็ปต์สไตล์มินิมอลอีกด้วย
หากใครที่รักสีสัน ชอบบรรยากาศแปลกใหม่ไม่จำเจ ก็อาจเป็นกังวลว่าสีขาวเพียงสีเดียวอาจทำให้บ้านดูจืดชืดน่าเบื่อเกินไป การจับคู่สี หรือเปลี่ยนโทนในบางห้อง สร้างสไตล์ที่เป็นเรา ให้หลุดจากกรอบเดิม ๆ ก็เป็นทริคที่สามารถทำให้ห้องโดดเด่นน่าสนใจ ดูสนุก และเสริมอารมณ์ที่หลากหลายในแต่ละมุม
ผู้เขียนจะหยิบยกไอเดียง่าย ๆ ตามกฎ 60-30-10 สัดส่วนการแมตซ์สีในหนึ่งห้องให้เกิดความสมดุล ยกตัวอย่าง ตามภาพประกอบ
⚫ 60% สีหลัก ผนังส่วนใหญ่ ทาด้วยโทนสีขาวอุ่น Jamila 158-1
⚫ 30% สีรอง เลือกตกแต่งผนังบางส่วน ด้วยโทนสีส้มสุดคูล Titan’s Glory 100-6
⚫ 10% สีไฮไลท์ ผ่านของตกแต่ง ทั้งโคมไฟ หมอนอิง หรือพรมก็ตาม
หลักง่าย ๆ สำหรับการจับคู่สีในหนึ่งห้อง ควรกำหนดสีหลักเพียงแค่สีเดียว อาจจะทาได้ทั้งสีขาวโทนอุ่นและสีขาวโทนร้อน สามารถเข้าได้กับอารมณ์ในแต่ละมุมพักผ่อน แมตซ์ได้กับทุกโทนสี จากนั้นเพิ่มความโดดเด่นด้วยโทนสีสดใสที่เข้มกว่าบนผนังด้านใดด้านหนึ่ง ทั้งนี้ ต้องเลือกให้เหมาะกับการทาในแต่ละห้อง เพราะแต่ละสีล้วนมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของผู้อาศัย ก่อนจะปิดท้ายด้วยสีไฮไลต์ผ่านของตกแต่ง อย่าง โคมไฟ หมอนอิง พรม ก็ยิ่งเสริมให้ภาพรวมของห้องดูน่าสนใจมากขึ้น
เคล็ดไม่ลับอีกหนึ่งทริค คือการจับคู่สีโทนตรงข้ามกัน เราสามารถคุมโทนไม่ให้บรรยากาศในห้องดูขัดแย้ง ลายตา ด้วยการกำหนดสัดส่วนให้ลงตัว ด้วยอัตราส่วนการใช้สี 80 – 20 หรือ 70 – 30 ก็ยิ่งเพิ่มความสนุกสนาน เป็นความแตกต่างที่ลงตัว แต่สำหรับบ้านไหนที่ไม่อยากเลือกใช้สีที่จัดจ้าน หรือตัดกันเกินไป ก็สามารถเลือกจับคู่สีแบบ Monotone คือการเลือกใช้คู่สีที่เป็นเฉดเดียวกัน โดยกำหนดสีหลักขึ้นมา 1 สี สร้างลูกเล่นด้วยความอ่อนเข้ม ลดหลั่นกันไป ก็เสริมให้บ้านดูไม่จำเจได้เช่นกัน
Color Trends ปี 2023
หากยังตัดสินใจเลือกสีไม่ได้ เพราะ เบเยอร์ มีให้เลือกถึง 2,000 กว่าเฉดสี ผู้เขียนขอแนะนำสีที่น่าสนใจและได้รับการคัดเลือกมาแล้วว่าเป็น Color Trends ปี 2023 จาก เบเยอร์คัลเลอร์ บียัวร์ส ภายใต้แนวคิด “BEING | สีมีชีวิต” เรียงร้อยเรื่องราวแห่งสีผ่าน 3 กลุ่มแรงบันดาลใจ ได้แก่ Comforting, Grooving และ Exploring สะท้อนสไตล์ รสนิยม ความชอบที่แตกต่างไล่เรียงตั้งแต่เฉดสีกลุ่มเอิร์ธโทน อบอุ่น ละมุนละไม ไปจนถึงเฉดจัดจ้าน หนักแน่น และ มั่นคง พร้อมสร้างสีสันให้ทุกพื้นที่ภายในบ้าน
กลุ่มโทนสี COMFORTING ให้ความอบอุ่น สบายตา ปลอบประโลมจิตใจให้สงบ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอยู่บ้าน ในยุคที่ผู้คนต่างหันมาให้ความสำคัญกับพื้นที่อยู่อาศัย พร้อมหันมาดูแลใส่ใจทั้งสุขภาพกายและใจกันมากขึ้น การสร้างพื้นที่แห่งความสุข (Private) และ ความสมดุลแห่งชีวิต (Wellness) ผ่านเฉดสีที่ได้แรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติรอบตัวในกลุ่มเอิร์ธโทน เฉดสีที่อ่อนละมุน และวัสดุปิดผิวธรรมชาติ เช่น ไม้ หิน เชื่อมโยงจากภายนอกสู่ภายใน เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ก็จะช่วยเติมความผ่อนคลาย สบายใจ ปลอดภัยบนพื้นที่ส่วนตัวได้เป็นอย่างดี
กลุ่มโทนสี GROOVING ช่วยสร้างบรรยากาศความผ่อนคลาย ปรับอารมณ์ลดระดับความตึงเครียดให้ลดลงได้ กับ พื้นที่แห่งการสร้างสรรค์งาน (Business-Workspace) ผ่านเฉดสีที่ช่วยเสริมสร้างสมาธิ แซมด้วยการแต่งเติมสีสันในบางมุม เพื่อช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ และบรรยากาศแห่งความสนุก เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานได้เป็นอย่างดี และ พื้นที่เพื่อการปรับเปลี่ยนได้อย่างลงตัว (Flex) อย่างทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม รวมไปถึงพื้นที่ใช้งานอื่น ๆ เพื่อการพักผ่อน หรือทำงานก็ตาม การตกแต่งจึงสร้างความอุ่นใจด้วยกลุ่มสีโทนอุ่น โทนธรรมชาติ แทรกด้วยสว่างและสีสดในบางตำแหน่ง เพื่อสร้างพลังใจ ให้กระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาขึ้น
กลุ่มโทนสี EXPLORING พร้อมกระตุ้นการเรียนรู้ เกิดความคิดสร้างสรรค์ ลดอารมณ์และความคิดในด้านลบ กับ พื้นที่แห่งการเรียนรู้ ส่งเสริมทักษะและจินตนาการ (Learning) ด้วยเฉดสีสดใส เพื่อเร้าความสนใจ มีส่วนร่วมกับกิจกรรมมากขึ้น และ พื้นที่แห่งการปรนนิบัติและบริการ (Accommodation) รองรับช่วงเวลาที่ผู้คนต่างต้องการพักผ่อนหย่อนใจ หลีกหนีจากความวุ่นวายจากภาระต่าง ๆ ด้วยโทนสีละมุนแต่หนักแน่นด้วยน้ำหนักสี สอดแทรกด้วยสีสันจากธรรมชาติ ช่วยเสริมความรู้สึกมั่นคง ปลุกพลังคืนมาอีกครั้ง
โดยเทรนด์สีปีนี้ถูกคัดสรรมาได้อย่างครบถ้วนตามคอนเซ็ปต์ “BEING | สีมีชีวิต” ที่ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวของช่วงเวลาที่ท้าทายใน 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ เรียกได้ว่าครอบคลุมทั้งด้านสุขภาพ การพักผ่อน สมดุลทางอารมณ์ การใช้ชีวิตร่วมกัน และการค้นพบประสบการณ์ใหม่ ๆ เป็นไอเดียที่นำไปใช้ได้กับหลากหลายงานออกแบบ ทั้งภายนอกและภายในอาคาร ดูได้เพิ่มเติม >> http://bit.ly/3HEjpS0
สร้างสรรค์สีที่ตรงกับความต้องการหรือปรึกษาเกี่ยวกับเฉดสีบ้านที่สนใจ เพิ่มเติมได้ที่ www.beger.co.th/color_beyours