เคล็ด (ไม่) ลับ… จัดสวนสไตล์ฉัน อย่างรู้ทิศทางแสง
ความวุ่นวายกลางเมืองใหญ่ อาจทำให้ใครหลายคนต่างกำลังถวิลหาธรรมชาติ “การจัดสวน” จึงเป็นหนึ่งในไอเดียง่ายๆ ที่ช่วยเติมเต็มพื้นที่รอบบ้านให้สดใสด้วยสีเขียวของพรรณไม้นานาชนิด เป็นดั่งสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ให้เราได้มีเวลาได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น ฉะนั้นการจัดสวนจึงไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ควรคำนึงถึงทิศทางแสง ความชื้นและการให้น้ำ พันธุ์ไม้ที่เหมาะสม การวางตำแหน่ง รวมไปถึงการดูแลรักษา เพื่อให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้เต็มที่ด้วย


ไม่ต่างจาก Flowerpot Cafe คาเฟ่สีขาวสุดน่ารักแห่งนี้ ที่ถูกออกแบบให้เชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติรอบนอกผ่านผนังกระจกใส สร้างความรู้สึกสงบ สดชื่น เต็มไปด้วยความผ่อนคลายแก่ผู้มาเยือนอย่างเราไม่น้อย การได้มาเยือนที่นี่ไม่เพียงแค่การได้เสพธรรมชาติเบื้องหน้า พร้อมๆ กับจิบเครื่องดื่มแก้วโปรด ชิมขนมเค้กโฮมเมดแสนอร่อยเท่านั้น Flowerpot ยังแบ่งโซนเปิดเป็นร้านขายพรรณไม้ต่างๆ ให้แก่ผู้มาเยือนที่สนใจได้นำกลับไปชื่นชมต่อที่บ้านกันอีกด้วย


เนื่องจากเปิดเป็นคาเฟ่ควบคู่กับขายพรรณไม้ ฉะนั้นคอนเซ็ปต์ของการจัดสวนแห่งนี้จึงไม่มีกฏที่ตายตัว เพราะบรรดาต้นไม้ต่างๆ จะมีการปรับเปลี่ยนหมุนเวียนอยู่ตลอด เจ้าของร้านเล่าว่าต้องการจัดสวนที่นี่ให้เป็นเหมือนสวนตัวอย่างในบ้าน สำหรับผู้ที่ยังไม่มีไอเดียหรือแบบในการจัดสวน รวมไปถึงการเลือกพรรณไม้ที่เหมาะสมกับพื้นที่ก็ตาม หากชอบหรือถูกใจต้นไหนก็สามารถยกไปแต่งตามได้เลย “ผมไม่ได้จัดให้เป็นสวนฟอร์มัลเหมือนสวนประดิษฐ์ แต่จะจัดให้เป็นสวนสไตล์บ้านๆ ออกแนวสวนทรอปิคอลหน่อยๆ จะให้ความหลากหลายของต้นไม้เป็นหลัก อย่างบางโซนจะใช้พรรณไม้ด้วยกัน 3 สเต็ป เริ่มจากไม้ระดับสูง ไม้ระดับกลาง และไม้กระถาง หรือพันธุ์ไม้บางชนิดก็นำมาจัดให้เข้ามุมโดยสอดแทรกสีสันของดอกไม้เข้าไปเล็กน้อย พร้อมวางที่นั่งง่ายๆ เพื่อเป็นมุมถ่ายรูปชิคๆ กับลูกค้าด้วย”


ทันทีที่เดินผ่านพ้นกำแพงรั้วเข้ามายังภายในอาคาร เราสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวาของต้นไม้หลากรูปทรงหลายเฉดสี แซมด้วยสีสันของไม้ดอกอยู่ประปรายได้อย่างสวยงาม เจ้าของร้านเล่าต่อว่า “ผมจะแบ่งโซนอย่างเป็นสัดส่วนระหว่างไม้แดดและไม้ร่ม เพื่อให้ง่ายในการดูแล อย่างพรรณไม้ที่ไม่ชอบแดดจัด จำพวกกลุ่มฟิโลเดนดรอน ไม้วงศ์กระดังงา รวมถึงไม้ใบใหญ่ เหล่านี้จะเจริญเติบโตได้ในแสงรำไร ก็จะจัดให้อยู่ในโซนที่รับแดดครึ่งวันเช้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ต้นไม้มีการปรับสภาพกับแสงแดดได้ดี”


“ส่วนพรรณไม้ที่ต้องการแดดจัดอย่างสกุลพุด ปริก เหล่านี้จะชอบแดดจัดมาก ยิ่งได้รับแสงมากก็จะแตกหน่อสวยงาม ผมก็จะหามุมที่แสงแดดส่องถึงประมาณ 6 ชั่วโมงต่อวัน หรือถ้าเป็นประเภทเฟิร์น อาทิ เฟิร์นสไบนาง เฟิร์นข้าหลวง เฟิร์นใบมะขาม เฟิร์นกระแตไต่ไม้ ช้องบลู ช้องนางคลี่ สร้อยนางกรอง ประเภทนี้จะชอบความชื้น และแสงแดดประมาณ 50% จึงจะเจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์ และไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ไม้ประเภทไหนก็ตาม สำหรับผมหัวใจสำคัญคือจะต้องเข้าใจทิศทางของแสง รวมไปถึงน้ำที่จะต้องสอดคล้องกันด้วย”


ทางเดินสู่สวนถูกเชื่อมโยงพื้นที่การใช้งานทุกส่วน ด้วยการปูแผ่นทางเดินโรยด้วยหินกรวด สลับกับหินคลุกในบริเวณที่ปลูกกลุ่มไม้ชื้นเพื่อให้เดินได้สบาย เข้าสู่บริเวณกึ่งกลางถูกวางด้วยน้ำพุโรมันขนาดพอเหมาะ เสมือนเป็นจุดนำสายตาที่ช่วยสร้างบรรยากาศของความชุ่มฉ่ำให้กับสวนได้เป็นอย่างดี ที่นั่งในสวนถูกจัดสรรให้อยู่ภายใต้ร่มเงาของพรรณไม้หลากหลายชนิดทั้งไม้ดอกและไม้ใบไล่ระดับกันอย่างเป็นธรรมชาติ บนต้นไม้มองแล้วเต็มไปด้วยความรู้สึกสบายตาด้วยโทนสีเขียวของเฟิร์นที่แขวนเรียงรายทิ้งตัวลงมาได้อย่างอ่อนช้อยด้วยก้านใบที่เรียวยาวให้ความรู้สึกคล้ายนั่งอยู่ป่า สร้างเรื่องราวให้สวนดูมีชีวิตชีวาขึ้นด้วยปูนปั้นเป็ด ตุ๊กตาคิวปิด เก้าอี้ปูนเปลือย ไม่ว่ามองไปมุมไหนก็ยิ่งชวนทิ้งตัวลงนั่งได้ทั้งวันอย่างไม่มีเบื่อเลยทีเดียว


จะเห็นว่าหลักการจัดสวนง่ายๆ ของสวนแห่งนี้ไม่เพียงแค่วางคอนเซ็ปต์เพื่อให้บรรยากาศเป็นไปตามที่ต้องการเท่านั้น แต่หัวใจสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือทิศทางของแสงเงาในแต่ละช่วงเวลาของวัน เพื่อให้ง่ายต่อการเลือกประเภทและขนาดของพรรณไม้ รวมถึงการกำหนดตำแหน่งที่จะลงต้นไม้ได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้การดูแลเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นด้วย
นับเป็นอีกหนึ่งในไอเดียดีๆ ที่จะช่วยให้สามารถสร้างพื้นที่สีเขียวและเพิ่มสีสันให้บ้านน่าอยู่มากขึ้น เพียงแค่นำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสเปซ คุณผู้อ่านก็จะยิ่งสนุกไปกับการจัดสวน แถมยังได้มุมโปรดเพิ่มมาอีกมุมที่เต็มไปด้วยความรื่นรมย์ของสวนที่เราจัดเองอีกด้วย